homeremediesforeverything.org
ในห้องสมุด ควรจัดให้จองหนังสือออนไลน์ เดินไปรับแล้วออกไปอ่านเองในที่พัก หรืออ่านแบบอิเล็กทรอนิกส์ 5. เปลี่ยนระบบการทำธุรกิจ โดยใช้การติดต่อทางโทรศัพท์ หรือออนไลน์เป็นหลัก หรือปรับเวลาการมาทำงานให้ยืดหยุ่น 6. หลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยขนส่งที่มีคนหนาแน่น หรือใกล้ชิดกัน เช่น รถโดยสารประจำทางปรับอากาศ เรือสำราญ หรือเครื่องบิน เป็นต้น 7. ลดความหนาแน่นในลิฟต์ อาจมีการตีเส้นแบ่งในลิฟต์เพื่อให้ยืนห่างกัน หันหน้าออกจากกัน เลี่ยงการพูดคุยในลิฟต์ หรือเน้นการเดินขึ้นบันไดโดยเฉพาะถ้ามีอากาศถ่ายเทได้ดีกว่า 8. ทำงานที่บ้านแทนที่จะทำที่ทำงาน (Work from Home) ทำให้ลดการเดินทางมาทำงาน และการพบปะคนอื่นในที่ทำงานซึ่งเพิ่มทั้งโอกาสการรับและแพร่กระจายของเชื้อ 9. การเยี่ยมญาติหรือติดต่อสื่อสารกันทางระบบอิเล็ก ทรอนิกส์ เช่น ทาง LINE หรือ Video Call ต่าง ๆ แทนการไปพบปะกันโดยตรง 10. การยกเลิก หรือเลื่อนงานสัมมนา หรืองานประชุมขนาดใหญ่ไปเลย ซึ่งพบได้มากในช่วงนี้ เช่น การยกเลิกการสัมมนาวิชาการกลางปีของสมาคมโรคติดเชื้อ เป็นต้น 11.
5 เมตร ไปจนถึงการยกเลิกงานอีเวนต์ งานกิจกรรมต่างๆ ยกเลิกการนัดพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง เครือญาติ ปิดโรงเรียน และสถานศึกษาต่างๆ ไปจนถึงสั่งลดจำนวนผู้ที่เข้าไปในพื้นที่สาธารณะ และย่านธุรกิจ แต่ถ้าเราไม่เริ่มรณรงค์เรื่อง social distancing นี้ เราจะได้เห็นการระบาดของโรคอย่างรวดเร็วมาก ในแบบเอ็กซโพเนนเชียล ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่ติดเชื้อ 1 คนสามารถทำให้คนอื่นติดเชื้อได้อีก 2. 5 คนเป็นอย่างน้อย แล้วแต่ละคนที่ติดเชื้อใหม่นั้น ก็ทำให้คนอื่นติดเชื้อได้อีก 2.
Q: Physical Distancing กับ Social Distancing เหมือนหรือต่างกันอย่างไร? A: Social Distancing คือ การงดการพบปะกัน ตัดสังคมจากกันและกัน แต่เมื่อใช้วิธีนี้ไปในระยะหนึ่ง พบว่ายังไม่สามารถแก้ไขการระบาดของโรคได้ จึงเริ่มมีการให้คนยืนอยู่ห่าง ๆ กัน ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในทางปฏิบัติว่าคนต้องอยู่ห่างกัน หรือสังคมต้องอยู่ห่างกัน องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้รวบรวมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่ใช่คนกระทำ แต่เป็นการบังคับให้อยู่ห่างกันทางสังคม โดยออกเป็นกฎหมาย ข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งให้เรียกว่า Social Distancing (การเว้นระยะห่างทางสังคม) และสำหรับภาคปฏิบัติที่รัฐจะทำให้คนอยู่ห่างกัน ให้เรียกว่า Physical Distancing (การเว้นระยะห่างทางกายภาพ) ข้อมูลโดย: นพ. พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย
การที่ "งานเข้า" ต้องไปตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น ก็เพราะการเข้าสังคมนี่แหละ แล้วก็เลยไม่วายทวีตขึ้นมาลอยๆ ว่า "Social Distancing! "
อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว " Jessada Denduangboripant " ได้โพสต์ข้อความ เรื่องการ "อยู่ห่างๆ กัน (social distancing) คือทางรอด ในการสู้กับโรคโควิด 19" โดยระบุว่า ตอนนี้อยากโปรโมตคำขวัญใหม่จริงๆ นะว่า "กินร้อน ช้อนกู ล้างมือถูสบู่ อยู่ห่างๆ กัน" "แต่กับสถานการณ์แพร่ระบาดล่าสุด แบบเฟส 2.
ดร. นพ.
ทำความรู้จักคำฮิต "Social Distance" ที่ทั้ง "โดนัลด์ ทรัมป์" และ "ทิม คุก" หยิบขึ้นมาพูดถึง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของ "ไวรัสโคโรน่า" สาเหตุของโรคโควิด-19 มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ที่อยู่ดีๆ บุคคลระดับโลกสองคน คือ "โดนัลด์ ทรัมป์" และ "ทิม คุก" จะเอ่ยถึงคำเดียวกันในวันเดียวกัน นั่นก็คือ "Social Distancing" เพราะคำว่า "Social Distancing! " ที่ "ทรัมป์" ทวีต และ ที่ "คุก" เอ่ยถึงในแถลงการณ์เรื่องปิดแอปเปิ้ลสโตร์ทั่วโลก วานนี้ (14 มี. ค. ) นั้น ถือเป็นวิธีสกัดการแพร่ระบาดของ "ไวรัสโคโรน่า" ที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ ถ้าอยากจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน "Social Distancing" หรือที่บางคนก็ว่า "Social Distance" คืออะไร?
ที่ผ่านมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทวีตข้อความ Donald J. Trump @realDonaldTrump สั้นๆว่า SOCIAL DISTANCING!
ห้ามคนเข้าออก สกัด COVID-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สั่ง ซื้อ ของ โลตัส, 2024